9 April 25 กรุงเทพธุรกิจ by Kanokkan
กลายเป็นเมนูยอดฮิตของคนรักการดื่ม อย่าง "มัทฉะ หรือชาเชียว" ที่ได้รับความนิยมตลอดกาล ขายดีจนขาดตลาด ยิ่งกระแสคนรักสุขภาพ เครื่องดื่มที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย อย่าง "มัทฉะ หรือชาเขียว" ตอบโจทย์กับผู้รักสุขภาพแต่ยังรักการดื่มแบบสุดๆ
มัทฉะ กับ ชาเขียว ความเหมือนที่มีความแตกต่าง เชื่อว่าหลายๆคนคงข้องใจ เพราะมีสีที่เหมือนกัน แถมทั้ง 2 เมนูนี้ยังทดแทนกันได้
ว่ากันว่า "ชาเขียวหรือ Ryokucha" มีต้นกำเนิดจากประเทศจีนมานานกว่า 4,000 ปี เรื่องราวเริ่มต้นจากนักบวชชาวญี่ปุ่นชื่อ Eichu จากวัด Bonshakuji ในจังหวัดไอจิ เดินทางไปเป็นทูตเรียนรู้เรื่องต่างๆ ที่ประเทศจีน รวมถึงได้รู้จักชาเขียว จึงนำชาเขียวกลับมาถวายจักรพรรดิซางะ เมื่อจักรพรรดิชิมรสชาติและรู้ถึงสรรพคุณดีต่อสุขภาพ จึงเริ่มมีการดื่มชาเขียวในหมู่ชนชั้นสูงก่อน แล้วจึงแพร่หลายสู่คนทั่วไป
ชาวญี่ปุ่นเริ่มมีการปลูกต้นชาและคิดค้นกรรมวิธีการผลิตชาเขียวหลากหลายชนิด เช่น มัทฉะ เซนฉะ เกนไมฉะ เคียวคุโระ ฯลฯ และยังมีการพัฒนาพิธีชงชาหรือที่เรียกว่า "ชะโด" หรือ "ซะโด" ที่โด่งดังไปทั่วโลก
การกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของชาเขียวที่มีต้นกำเนิดจากจีน แต่ชาวญี่ปุ่นได้พัฒนาและเผยแพร่วัฒนธรรมการดื่มชาออกไปอย่างกว้างขวาง จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของญี่ปุ่นที่โด่งดังไปทั่วโลก
ชาเขียว คืออะไร? แตกต่างกับมัทฉะจริงหรือ
ชาเป็นผลผลิตทางเกษตรกรรมที่ได้จากส่วนของใบ ยอดอ่อน และก้านของต้นชา ที่ผ่านการแปรรูปเพื่อนำมาใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องดื่ม กลิ่นหอมที่ได้จากชาเกิดจากสารต่าง ๆ ที่อยู่ในชาที่มีคุณสมบัติเป็นน้ำมันหอมระเหย ซึ่งพืชหลายชนิดที่มีส่วนประกอบของน้ำมันหอมระเหยเช่นนี้ สามารถนำมาตากแห้ง ใช้ชงหรือต้มกับน้ำร้อนก็เรียก ชา ได้เช่นกัน ทำให้ชามีหลากหลายชนิด โดยปัจจุบันชาเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
ชาเขียว (Green Tea) หรือที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งคือชาเขียวเซนฉะ ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน
ชาเขียวกรีนทีมีลักษณะเป็นใบชาเขียวแห้ง มีกลิ่นหอมคล้ายหญ้า รสชาติบางเบา หวานนิด ไม่ขมหรือฝาด เมื่อชงจะได้น้ำชาสีเขียวอ่อนปนเหลืองที่ใส โดยบางครั้งจะถูกผสมสีและกลิ่นมะลิเพื่อให้ถูกปากคนไทยยิ่งขึ้น
กรรมวิธีการผลิตชาเขียวกรีนทีนั้นเริ่มจากการเก็บยอดใบชาที่ปลูกกลางแจ้ง แล้วนำไปตากแห้งและอบไอน้ำหรือคั่วด้วยความร้อน ต่อด้วยการนวดและอบให้แห้งสนิท โดยไม่ผ่านกระบวนการบ่มหรือบดใบชา
เนื่องจากเป็นกรรมวิธีที่ไม่ซับซ้อนเหมือนชาเขียวมัทฉะ จึงทำให้ชาเขียวกรีนทีนั้นมีราคาถูกกว่า แต่ยังคงคุณภาพและรสชาติดั้งเดิมของชาเขียว
รู้จัก ประเภทของชาเขียว
1. Sencha (เซนฉะ)
เป็นใบชาเขียวที่ผ่านการอบให้แห้ง
มีรสหวานโคนลิ้น หอมกรุ่น ดื่มง่าย
น้ำชามีสีเขียวอ่อน
2. Genmaicha (เกนไมฉะ)
เป็นชาข้าวคั่ว ผสมระหว่างใบชาเขียวกับข้าวคั่ว/พอง
มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์
น้ำชามีสีเหลืองอ่อน
3. Hojicha (โฮจิฉะ)
ใบชาเขียวที่ผ่านการคั่วให้ร้อน
มีสีน้ำตาลแดงคล้ายชาจีน แต่มีกลิ่นเฉพาะตัว
น้ำชามีสีน้ำตาลใส
4. Matcha (มัทฉะ)
เป็นผงยอดอ่อนของใบชาเขียวบดละเอียด
สามารถละลายน้ำได้เมื่อนำมาชง
มีสีเขียวเข้มขุ่นเมื่อละลายน้ำแล้ว
โดยแต่ละประเภทจะมีกระบวนการผลิต ลักษณะรูปร่าง สี กลิ่นรส และวิธีการชงดื่มที่แตกต่างกันออกไป
รู้จักมัทฉะ ชาเขียวชนิดพิเศษ
มัทฉะ (Matcha) เป็นชาเขียวชนิดพิเศษที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น มีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น โดยมีกระบวนการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวที่พิถีพิถันเป็นพิเศษ ก่อนนำใบชามาบดเป็นผงละเอียดสีเขียวสด ซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการสูงจากปริมาณคลอโรฟิลล์
สิ่งที่ทำให้มัทฉะโดดเด่นไปกว่านั้น คือวิธีการชงชาที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งสืบทอดมาจากพิธีกรรมการชงชาแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น โดยต้องนำผงชามาผสมกับน้ำร้อนและคนจนเข้ากัน ด้วยวิธีการที่ต้องอาศัยความชำนาญและสมาธิเป็นพิเศษ จึงถือเป็นศิลปะชั้นสูงของญี่ปุ่น
แม้ในปัจจุบันวิธีการชงชาเขียวจะมีการปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและวัฒนธรรมต่างๆ แต่การชงมัทฉะยังคงรักษาแบบแผนดั้งเดิมของญี่ปุ่นไว้อย่างเคร่งครัด ตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูก เก็บเกี่ยว การบด จนถึงวิธีการชงที่ประณีตบรรจง ส่งผลให้มัทฉะมีรสชาติและคุณค่าเฉพาะตัวที่โดดเด่น จนกลายเป็นหนึ่งในการชงชาระดับศิลปะอันทรงคุณค่าของโลก
ประเภทของมัทฉะ
มัทฉะสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ ตามเกรดของการเก็บเกี่ยวดังนี้
Ceremonial Grades: เป็นมัทฉะจากการเก็บเกี่ยวรอบแรก มีคุณภาพสูงสุด ให้รสชาตินุ่มนวล สีเขียวสด ราคาแพง เหมาะสำหรับชงดื่มแบบดั้งเดิม
Culinary Grades: เป็นมัทฉะจากการเก็บเกี่ยวรอบที่สอง คุณภาพต่ำกว่ารอบแรกเล็กน้อย เหมาะสำหรับใช้ประกอบอาหารและเครื่องดื่ม
Ingredient Grades: เป็นมัทฉะจากการเก็บหลังรอบที่สองแล้ว คุณภาพต่ำและให้รสชาติขม เหมาะสำหรับใช้เป็นส่วนผสมในอาหารและอาหารเสริม
ในที่นี้จะกล่าวถึงชา 2 ประเภท ที่ได้จากต้นชา คือ ชาเขียว (Green Tea) และชาเขียวมัทฉะ (Matcha) เครื่องดื่มสีเขียว กลิ่นหอม ที่หลายคนชื่นชอบเพราะไม่ว่าจะไปร้านอาหารหรือคาเฟ่ก็สามารถพบเจอได้ ถือได้ว่าเป็นเครื่องดื่มอันดับต้น ๆ ที่เป็นตัวเลือกสำหรับคนไม่ดื่มกาแฟ โดยทั้งชาเขียวและชาเขียวมัทฉะนั้น มีต้นกำเนิดมาจากต้นชาเช่นเดียวกัน แต่มีความต่างในเรื่องของ “กรรมวิธีการผลิต”
สารประโยชน์ของชาเขียวและมัทฉะ
1. ชาเขียว (Green Tea)
ชาเขียวได้จากการนำใบชาสดมาทำให้แห้งอย่างรวดเร็วด้วยการอบผ่านความร้อน เพื่อยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไม่ให้เกิดการสลายตัว ใบชาที่ได้จึงแห้ง สด มีสีค่อนข้างเขียว และยังคงสารสำคัญที่มีประโยชน์ ได้แก่
สารกลุ่มโพลิฟีนอล เช่น อีพิกัลโลคาเทชินกัลเลต (epigallocatechin gallate : EGCG) , ไมริซิติน (myricetin), เคอร์ซิติน (quercetin) และแคมป์เฟอรอล (kaempferol) ที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งบางชนิดได้ ในชาเขียวจะพบสารอีพิกัลโลคาเทชินกัลเลตในปริมาณมากกว่าสารชนิดอื่น นั่นจึงทำให้สามารถต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย
สารในกลุ่มแซนทีนอัลคาลอยด์ (xanthine alkaloids) ได้แก่ คาเฟอีน (caffeine) และธิโอฟิลลีน (theophylline) ที่มีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัว
ชาเขียวยังมีกรดอะมิโน วิตามิน B, วิตามิน C และวิตามิน E ที่จำเป็นต่อร่างกาย คลอโรฟิลล์ที่มีประโยชน์ต่อกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดง และช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย
2. ชาเขียวมัทฉะ (Matcha)
ชาเขียวมัทฉะมีความซับซ้อนตั้งแต่ขั้นตอนการปลูก คือ ต้องมีการดูแลเอาใจใส่ต้นชาเป็นอย่างดี โดยจะคลุมต้นชาด้วยตาข่ายเป็นเวลา 30 วัน ก่อนเก็บเกี่ยว ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ใบชาสร้างคลอโรฟิลล์มากขึ้น เพื่อเพิ่มความสามารถในการสังเคราะห์แสง ส่งผลให้ใบชามีสีเขียวเข้ม และเป็นการป้องกันการเปลี่ยนสารแอล-ธีอะนีน (L-Theanine) ในใบชาเป็นคาเทชินเมื่อโดนแสงแดด ทำให้ชาเขียวมัทฉะมีสารแอล-ธีอะนีนสูงกว่าชาเขียว ซึ่งส่งผลให้มีรสชาติที่ดีกว่าด้วย
อีกทั้งคุณสมบัติพิเศษของสารนี้ที่ช่วยลดสภาวะความเครียดทางจิตใจ ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย เพิ่มสมาธิช่วย ลดความดันโลหิตได้ จึงควรค่าแก่การเก็บรักษา นอกจากนี้ชาเขียวมัทฉะยังมีสารสำคัญเช่นเดียวกับที่พบในชาเขียว โดยเฉพาะสารอีพิกัลโลคาเทชินกัลป์เลต ทำให้สามารถต้านอนุมูลอิสระได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งอุดมไปด้วยวิตามิน A, วิตามิน C และวิตามิน E ที่ช่วยชะลอวัยทำให้ดวงตาและผิวพรรณสดใส
สำหรับขั้นตอนการบดเป็นผงของชาเขียวมัทฉะ ทำได้โดยนำใบชาที่แห้งจากการผ่านความร้อน มาบดทั้งใบโดยไม่มีการแยกกากออก ส่งผลให้ชาเขียวมัทฉะอุดมไปด้วยประโยชน์มากมาย ขณะเดียวกันก็ได้รสชาติขมของคลอโรฟิลล์ปนออกมาด้วย
ความแตกต่างระหว่างชาเขียว – มัทฉะ
1. การปลูกที่แตกต่างกัน
การปลูกชาเขียว
ชาเขียวทั่วไปนั้น มีแหล่งผลิตหลักอยู่ในประเทศจีน คิดเป็นสัดส่วนกว่า 80% ของชาเขียวทั่วโลก โดยมักปลูกในพื้นที่โล่งแจ้งที่มีแสงแดดส่องถึง
การปลูกมัทฉะ
มัทฉะซึ่งเป็นชาเขียวคุณภาพสูงพิเศษของญี่ปุ่นนั้น จะมีวิธีการปลูกที่แตกต่างออกไป โดยในช่วง 2-3 สัปดาห์สุดท้ายก่อนเก็บเกี่ยว ต้นชาจะได้รับการคลุมร่มไว้เพื่อให้อยู่ในที่ร่มและไม่โดนแสงแดดโดยตรง
วิธีการปลูกแบบคลุมร่มในช่วงท้ายนี้ จะช่วยทำให้ต้นชาสะสมสารธีอะนีนได้มากขึ้น ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ทำให้มัทฉะมีรสชาติและคุณประโยชน์โดดเด่น แตกต่างจากชาเขียวทั่วไป ดังนั้น กระบวนการผลิตมัทฉะจึงค่อนข้างพิถีพิถันและต้องใช้ความระมัดระวังมากกว่าการผลิตชาเขียวชนิดอื่นๆ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดีเยี่ยม
2. การแปรรูปที่แตกต่างกัน
การแปรรูปชาเขียว
สำหรับชาเขียวทั่วไปนั้น หลังจากเก็บเกี่ยวใบชาเขียวมาแล้ว จะมีกระบวนการแปรรูปด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การตากแดด การคั่วชา หรือการนึ่งชา เพื่อหยุดยั้งการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน จากนั้นจึงนำไปอบหรือตากให้แห้ง ชาเขียวที่ได้จะอยู่ในรูปแบบของใบชาแห้งเกลียว
การแปรรูปมัทฉะ
มัทฉะซึ่งเป็นชาเขียวคุณภาพสูงของญี่ปุ่นนั้น จะมีกระบวนการแปรรูปที่แตกต่างออกไป หลังจากเก็บเกี่ยวใบชาเขียวมาแล้ว จะรีบนำไปนึ่งด้วยไอน้ำร้อนและอบแห้งอย่างรวดเร็ว เพื่อหยุดยั้งการเกิดออกซิเดชันและรักษาคุณค่าของสารอาหารไว้ให้ได้มากที่สุด จากนั้นจะนำก้านและเส้นใบออก เหลือไว้เพียงแต่ส่วนของใบชาล้วนๆ แล้วนำไปบดให้ละเอียดเป็นผงสีเขียวสดงดงาม จึงได้ผงมัทฉะที่มีคุณภาพและรสชาติโดดเด่น กระบวนการแปรรูปมัทฉะจึงค่อนข้างพิถีพิถันและต้องรักษาความสดใหม่ของใบชาไว้ให้ได้มากที่สุด เพื่อคงคุณค่าทางโภชนาการและกลิ่นรสอันเป็นเอกลักษณ์ไว้
3.ลักษณะของใบชาที่แตกต่างกัน
ใบของชาเขียว
มีลักษณะเป็นใบชาแห้ง ไม่ได้ผ่านกระบวนการบดหรือย่อยให้เป็นผง
ความละเอียดของใบอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และกรรมวิธีการผลิต
ลักษณะเป็นผงละเอียดมาก เนื่องจากผ่านกระบวนการบดจากยอดอ่อนและใบชาเขียว
เป็นอาหารที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก เมื่อนำมาบดแล้วจะมีลักษณะเหมือนผงแป้งละเอียด
ความละเอียดของผงมัทฉะมากกว่าผงชาเขียวทั่วไป
ลักษณะที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงคือ ชาเขียวมีลักษณะเป็นใบแห้ง ขณะที่มัทฉะจะมีลักษณะเป็นผงละเอียดมาก เนื่องจากผ่านกระบวนการบดให้ละเอียดที่สุด ทำให้มัทฉะมีลักษณะเป็นผงแป้งสีเขียวเข้ม
4. กลิ่นที่แตกต่างกัน
กลิ่นของชาเขียว
ชาเขียวนั้นมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ที่มาจากตัวใบชาเอง บางวิธีการชงอาจทำให้น้ำชามีกลิ่นคล้ายสาหร่ายอ่อนๆ ในประเทศไทยเรานิยมนำใบชาเขียวมาอบกับดอกมะลิ จึงได้กลิ่นชาเขียวมะลิที่หอมหวานละมุนลิ้น
กลิ่นของมัทฉะ
มัทฉะซึ่งผลิตจากใบอ่อนของชาเขียวคุณภาพสูงนั้น จะมีกลิ่นหอมนวลๆ ของยอดอ่อนใบชาที่แตกต่างไปจากชาเขียวทั่วไป เป็นกลิ่นหอมละมุนละไมที่สดชื่นและน่าหลงใหล มาพร้อมกับรสชาติที่เข้มข้นและซับซ้อน
กลิ่นหอมของมัทฉะนี้เกิดจากสารประกอบหลายชนิดที่ได้จากกระบวนการผลิตอย่างพิถีพิถัน ไม่ว่าจะเป็นสารในกลุ่มเทอร์พีนอยด์ สารประกอบฟีนอลิก และยังมีปฏิกิริยาการเกิดกลิ่นใหม่จากการสลายตัวของสารบางอย่าง เช่น อะมิโนกรด ด้วยเหตุนี้ กลิ่นหอมจึงเป็นหนึ่งในจุดเด่นที่ทำให้มัทฉะโดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นที่หลงใหลของคนรักชาทั่วโลก
5. รสชาติที่แตกต่างกัน
รสชาติของชาเขียว
ชาเขียวทั่วไปจะมีกลิ่นรสที่มีเอกลักษณ์คล้ายๆ กัน นั่นคือ มีกลิ่นดินและกลิ่นต้นไม้ใบหญ้า มีรสชาติฝาดหรือเฝื่อนเล็กน้อย แต่มีบอดี้ที่ค่อนข้างเบาบาง ให้ความรู้สึกสดชื่น
รสชาติของมัทฉะ
มัทฉะซึ่งเป็นชาเขียวคุณภาพสูงนั้น จะยังคงมีกลิ่นดินและกลิ่นต้นไม้ใบหญ้าคล้ายชาเขียวทั่วไป แต่จะมีรสชาติที่แตกต่างและพิเศษกว่า โดยจะมีรสขมและรสหวานผสมผสานอยู่ด้วย พร้อมกับบอดี้ที่แน่นและเข้มข้นกว่า
รสชาติพิเศษของมัทฉะนี้เกิดจากกระบวนการผลิตอันพิถีพิถัน ทำให้ได้รับสารต่างๆ อย่างครบถ้วนจากใบชา อีกทั้งยังมีการสลายตัวของสารบางอย่าง เช่น อะมิโนกรด ทำให้เกิดรสขมและรสหวานซับซ้อนผสมผสาน
ดังนั้น แม้มัทฉะจะดูคล้ายชาเขียว แต่จะมีรสชาติที่โดดเด่นและแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง นับเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ทำให้ผู้ดื่มได้สัมผัสกับประสบการณ์การชงชาระดับพรีเมี่ยม
รู้หรือไม่!! วิธีการรับประทานชา 2 ประเภท นี้ไม่เหมือนกัน
ชาเขียวปกติจะมาในรูปแบบของใบชาแห้ง โดยต้องนำใบชามาชงหรือต้มและกรองก่อนนำไปดื่มเป็นเครื่องดื่มร้อนเย็น หรือปั่น แต่ไม่เหมาะที่จะนำไปทำขนมหรือไอศกรีม
ชาเขียวมัทฉะ เป็นส่วนของใบชาที่บดเป็นผงคล้ายผงแป้งสามารถละลายในน้ำได้ มีความเข้มข้นมาก และดื่มได้ทันทีโดยไม่ต้องกรอง แต่ด้วยรสชาติที่ขมเล็กน้อยทำให้การดื่มชาเขียวมัทฉะจึงต้องเติมนมลงไปด้วย เพื่อให้ได้รสชาติที่นุ่มกลมกล่อม และดื่มง่ายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถเอาไปทำขนมหรือไอศกรีมได้ด้วย
ด้วยกรรมวิธีการผลิตทำให้ชาเขียวมัทฉะมีปริมาณสารสำคัญที่พบในชาแตกต่างจากชาเขียวธรรมดาค่อนข้างมาก ซึ่งนำไปสู่ราคาที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด โดยหากเราสังเกตตามร้านอาหารหรือคาเฟ่ จะพบว่าเครื่องดื่มหรือขนมที่มีส่วนผสมของชาเขียวมัทฉะจะมีราคาสูงกว่าชาเขียวเสมอ เพราะกรรมวิธีการผลิตและการปลูกที่ซับซ้อนรวมไปถึงคุณประโยชน์ภายในตัวชานั้นเอง
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ https://www.bangkokbiznews.com/health/well-being/1174621
