24 October 24 กรุงเทพธุรกิจ by Kanokkan
อโรม่า กรุ๊ป ผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่สุดของประเทศไทย เร่งแผนขยายกาแฟชาวดอย พร้อมแบรนด์พรีเมียม - สเปเชียลตี้คอฟฟี่ รับเทรนด์นอกบ้าน มูลค่า 17,000 ล้านบาท โตสูงสุด 25% ย้ำจุดแข็งแบรนด์ รสชาติกาแฟเหมือนกันทุกสาขา ส่วนในปี 68 เตรียมเปิดใหม่ 100 แห่ง
“กาแฟชาวดอย” ในเครือ อโรม่า กรุ๊ป แบรนด์กาแฟไทย ที่อยู่ในตลาดกาแฟมายาวนานถึง 60 ปี ทำธุรกิจกาแฟแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ การเป็นผู้ผลิตเมล็ดกาแฟคั่วบด การนำเข้าเครื่องชงกาแฟ กลางน้ำ และปลายน้ำ ที่เป็นการเปิดแบรนด์เอง โดยเป็นหนึ่งในแบรนด์ไทยที่มีปรับตัวให้สอดรับกับตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ทำให้สามารถแข่งขันได้ในสมรภูมิตลาดกาแฟไทยมูลค่ารวม 60,000 ล้านบาท ผสมด้วยการปรับกลยุทธ์เชิงรุก รับมือตลาดที่พลิกโฉมเร็ว รวมถึงการมีทายาทรุ่นที่สอง เข้ามาร่วมบริหารแบรนด์
นายกิจจา วงศ์วารี กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทในเครือ อโรม่า กรุ๊ป ซึ่งมี K.V.N. เป็นบริษัทในเครือ เป็นเจ้าของแบรนด์กาแฟชาวดอย ฉายภาพภาพรวมตลาดกาแฟไทย ที่มีมูลค่าประมาณ 6 หมื่นล้านบาท มีการขยายตัวประมาณ 7.8% ต่อปี แบ่งเป็น ตลาดกาแฟในบ้าน มีมูลค่าประมาณ 34,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 10% ต่อปี และตลาดกาแฟนอกบ้าน มีมูลค่า 27,000 ล้านบาท มีการขยายตัวสูง 25% มากที่สุดในตลาด มาจากพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งการเดินทางและการใช้ชีวิตนอกบ้านและทำงานจากที่ใดก็ได้หมด
ทิศทางการเปิดสาขาใหม่ของร้านกาแฟ
ทั้งนี้เมื่อประเมินแนวโน้มโดยรวมตลาดกาแฟนอกบ้าน ที่มีมูลค่า 25,000 ล้านบาท ขยายตัวสูงมากสุด สัดสัดส่วนแบ่งเป็น ตลาดกาแฟที่เปิดสาขาในปั้มน้ำมัน ประมาณ 16,000-17,000 ล้านบาท และกาแฟที่เปิดในศูนย์การค้าต่างๆ มีมูลค่าประมาณ 8,000 ล้านบาท
ทั้งนี้จึงเห็นแนวโน้มการเปิดสาขาใหม่ในทำเลนอกบ้านสูงขึ้น และมีค่าเช่าที่ถูกกว่า การไปเปิดสาขาในห้าง โดยมีข้อจำกัดทั้งการเปิดและปิดสาขาตามเวลาของห้างหรือศูนย์การค้า และต้องพึ่งพายอดทราฟฟิกของศูนย์การค้า
"ทิศทางการเปิดสาขากาแฟในห้างจะลดลง คนที่อยู่ได้คือ รายใหญ่เท่านั้น เนื่องจาก ค่าเช่า และปริมาณถูกจำกัดด้วยทราฟฟิก จากผลของกำลังซื้อ โดยเฉลี่ยค่าเช่าในห้าง อยู่ที่ประมาณ 4,000-5,000 บาทต่อ ตร.ม."
นอกจากนี้พฤติกรรมของการดื่มกาแฟของคนรุ่นใหม่ เริ่มมีอายุน้อยลง เริ่มต้นเฉลี่ย 16-17 ปี จากที่ผ่านมา เริ่มต้นอายุ 20-22 ปี รวมถึงพฤติกรรมการดื่มของคนรุ่นใหม่เปลี่ยนไปเช่นกัน ให้น้ำหนักในเรื่องรสชาติ และความหอม แตกต่างจากในอดีต เน้นเรื่องความเข้มข้นเป็นหลัก
คีย์หลักการปรับตัวรวดเร็ว - เห็นโอกาสก่อน
นายกิจจา เล่าต่อว่า ตนเองเป็นรุ่นสองเข้ามาร่วมบริหารธุรกิจกาแฟต่อจากคุณแม่ โดยที่ผ่านมาได้เผชิญหลายปัจจัยกระทบ และธุรกิจได้มุ่งมั่นปรับตัว รวมถึงมองโอกาสใหม่ๆ ต่างๆ อยู่เสมอ จึงสามารถสร้างผลประกอบการขยายตัวได้ต่อเนื่อง
"ที่ผ่านมา บริษัทผ่านวิกฤตมาหลายรอบ ได้เรียนรู้และปรับตัวมาตลอด จึงแทบไม่ได้รับผลกระทบปัจจัยต่างๆ เหมือนธุรกิจอื่นๆ อย่างช่วงโควิด แม้ว่ายอดขายช่วงแรกลดลง แต่บริษัทมีการวิเคราะห์สถานการณ์โดยรวม มองว่าทุกคนไม่มีที่ไป ทุกที่ปิดหมด แต่คนไทยมีไลฟ์สไตล์อยากหาที่ไป ทำให้ธุรกิจคาเฟ่ต้องโตมาก ทำให้บริษัทสั่งนำเข้าเครื่องชงกาแฟมาสูงมากกว่าปกติ แตกต่างจากประเทศอื่นๆ ในทั่วโลกชะลอนำเข้าเครื่องชงกาแฟทั้งหมด"
เปิดพอร์ตโฟลิโอแบรนด์ในเครือ
แผนของบริษัทได้มุ่งมั่นในการเปิดสาขาของกาแฟให้ครอบคลุมทุกตลาด เพื่อรองรับตลาดกาแฟที่เปลี่ยนแปลงไป โดยช่วงที่ผ่านมา มีการเปิดแบรนด์ใหม่ในเครือทั้ง
“Chao Doi Full Flavoured” โมเดลพรีเมียมกับ จากปัจจุบันมี 4 สาขา และมีโอกาสขยายเพิ่มในอนาคต
"HARIO CAFE Bangkok" แบรนด์ที่มีกลิ่นอายจากประเทศญี่ปุ่น และนำเข้าอุปกรณ์จากญี่ปุ่น จากปัจจุบันมีอยู่ 3 สาขา ได้แก่ โชคชัย 4, สุขุมวิท 33 และธนิยะ พลาซ่า
"We Roast" ที่มุ่งนำเสนอกาแฟ กาแฟพิเศษ หรือ สเปเชียลตี้คอฟฟี่ (Specialty Coffee) รองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้า จากปัจจุบันมีอยู่ 1 สาขา ได้แก่ เมืองทองธานี
แบรนด์กาแฟ "ชาวดอย" จากปัจจุบันมีอยู่ 250 สาขาทั่วประเทศ
ร้าน "อโรมา ชอป" รีเทลของ อโรมาชอป โดยเน้นจำหน่ายเครื่องชงกาแฟ และเมล็ดกาแฟ จากปัจจุบันมีอยู่ 25 สาขา
แผนเปิดปี 68 ขยายสาขาใหม่ 100 สาขา
สำหรับกาแฟชาวดอยในปี 2568 เตรียมแผนเปิด 100 สาขาใหม่ แบ่งเป็น นอกสถานีบริการน้ำมันประมาณ 40 สาขาทั้งการเปิดเอง ขยายแฟรนไชส์ รวมถึง การเปิดในปั้มน้ำมันคาลเท็กซ์
"จุดแข็งสำคัญของแบรนด์ที่ดึงดูดกลุ่มลูกค้า มาจากการวางมาตรฐาน ควบคุมต่างๆ และการเทรนนิงของพนักงานในทุกสาขา จึงทำให้ลูกค้าที่ดื่มกาแฟในทุกสาขา ได้รสชาติที่เหมือนกัน"
ทั้งนี้ ผลประกอบการในสิ้นปี 2567 คาดว่าจะอยู่ที่ 2,200 ล้านบาท ขยายตัวหนึ่งหลัก มาจากซัพพลายที่มากขึ้น และการขยายแบรนด์ใหม่ในเครือ โดยเมื่อประเมินสัดส่วนรายได้ของบริษัท มาจากรีเทล 5-10% เครื่องชงกาแฟ 15% ส่วนรายได้หลัก มาจากวัตถุดิบ เมล็ดกาแฟ ชา และโกโก้
สำหรับเมล็ดกาแฟ มีการซัพพลายให้แก่ร้านค้าต่างๆ ทั่วประเทศประมาณ 3,000 ตันต่อปี เรียกได้ว่าบริษัทเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของประเทศ โดยวัตถุดิบมาจากในประเทศ 50% และนำเข้าจากต่างประเทศ 50%
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1150347
