A comprehensive directory of food manufacturers, distributors and suppliers in Thailand. Find updated business information on Thailand Agri Food companies.

NEWS

    

ขายชา จนเข้าตลาดหุ้น! ‘Nose Tea’ โต 2,000% ตั้งแต่ปีแรกๆ เตรียม IPO ภายในปี 2570

“Nose

ตลาดชานมไข่มุกบ้านเราฟีเวอร์ลากยาวกันมาหลายปีแล้ว มีทั้งแบรนด์ไทยเกิดใหม่ และแบรนด์ข้ามชาติร่วมชิงเค้กมากถึง “หมื่นร้าน” หากจะพูดว่า ขณะนี้ตลาดถึง “จุดอิ่มตัว” ก็คงไม่ผิดนัก มีทั้งร้านเชนที่สู้กันด้วยวัตถุดิบและความพรีเมียม รวมถึงร้านขนาดเล็กที่เน้นเจาะกลุ่ม “Low-end Market” ด้วยหน้าตาของตลาดที่เติบโตเป็นอันดับต้นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้ว่า การแข่งขันจะดุเดือดแค่ไหน แต่ก็ยังมีผู้เล่นหน้าใหม่พร้อมเข้ามาท้าชิงอยู่ตลอดเวลา

“Nose Tea” (โนสที) คือหนึ่งในแบรนด์ที่เข้ามาท้ารบช้ากว่าตลาดไปหลายก้าว เปิดทำการครั้งแรกเมื่อปี 2565 โดยใช้ออฟฟิศสำนักงานของธุรกิจเดิมเป็นสาขาดัมมี่ในการลองผิดลองถูก แต่ผ่านไปเพียง 1 ปี “Nose Tea” หรือที่เรียกกันติดปากว่า “ชาจมูก” กลับเติบโตจนมีรายได้ปี 2566 ที่ “48 ล้านบาท” กำไรสุทธิ “5 ล้านบาท” โตจากปี 2565 กว่า 2,026% ทั้งยังประเดิมสาขาแรกที่ “สยามเซ็นเตอร์” เพราะมองว่า ต้องขายได้ตลอด 7 วัน วันธรรมดาต้องมีคนทำงาน วันเสาร์และอาทิตย์ต้องมีลูกค้าเดินเยอะ

ผ่านไป 2 ปีให้หลัง “ชาจมูก” ยังคงเติบโตต่อเนื่อง คิวที่รอยาวเหยียดช่วงแรกๆ เป็นอย่างไร ทุกวันนี้ยังคงมีคิวรอลิ้มรสชาชีสโลโก้จมูกสีเขียวเหมือนเดิม โดย “ธนกฤต ศรีพฤกษมาศ” หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์ “Nose Tea” บอกว่า เขาตั้งใจปั้นแบรนด์ชานมไข่มุกเข้าตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่วันแรก ทั้งยังเผยว่า ตอนนี้อยู่ในช่วงเตรียมความพร้อม-เช็กลิสต์ เพื่อเตรียมตัวก่อนจะถึงวันนั้นในอีก 3 ปีข้างหน้า

ทำร้านดัมมี่เพื่อ “ลองผิด” ทำไมชานมไข่มุกจะใช้โลโก้จมูกไม่ได้?

ก่อนจะมาเป็น “ชาจมูก” โลโก้รูปจมูกสีเขียวมีที่มาจากธุรกิจแผ่นลอกสิ้วเสี้ยน ที่ “ธนกฤต” ก่อตั้งร่วมกับ “กชณิชา ฐิติชนาโชติ” เมื่อธุรกิจเดิมดำเนินไปได้ระยะหนึ่ง “กชณิชา” คิดอยากทำแบรนด์เครื่องดื่มประเภทชานมไข่มุก ทั้งคู่จึงจับมือกันไปเรียนชงชา จากนั้นค่อยปรับเปลี่ยนให้เป็นสูตรที่ตัวเองชื่นชอบ ฝั่ง “กชณิชา” ชอบรสชาติของชาชีส พบว่า ที่เมืองไทยยังหารสชาติแบบนี้ได้ยาก หรือถึงจะมีก็ยังไม่เป็นที่นิยมเท่าไหร่ นั่นจึงเป็นที่มาของธุรกิจชานมไข่มุกในจังหวะแรก

เมื่อเคาะเมนูที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว “ธนกฤต” รับไม้ต่อในการทำแบรนดิ้งทันที เขาคิดเชื่อมโยงกลับไปยังโปรดักต์ “แผ่นลอกสิวเสี้ยนจมูกเขียว” ธุรกิจเดิมที่ทำมาหลายปี และมองว่า ไอเดียดังกล่าวน่าจะนำมาใส่ในแบรนด์เครื่องดื่มได้เช่นกัน แต่ผลปรากฏว่า นำไอเดียไปเสนอกับทีมงานกี่คนๆ ก็ถูกปฏิเสธกลับมาทั้งหมด จากข้อกังวลเรื่องความเหมาะสม และมองไม่เห็นว่า จมูกกับเครื่องดื่มจะไปด้วยกันได้อย่างไร

ท้ายที่สุด “ธนกฤต” ขายไอเดียด้วยยอดขายหลายล้านแผ่นของแผ่นลอกสิวเสี้ยน เชื่อว่า โลโก้ที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว จะสร้างการจดจำให้ผู้บริโภคได้ ในยุคที่ชานมไข่มุกเต็มไปด้วยโลโก้รูปสัตว์นานาชนิด ทำไมจะมีชานมโลโก้จมูกสีเขียวไม่ได้ ช่วงแรก “Nose Tea” เริ่มต้นทำ “ร้านดัมมี่” เพื่อเรียนรู้ระบบการจัดการภายในร้านก่อน โดยร้านดัมมี่ตั้งอยู่ด้านหน้าออฟฟิศแผ่นลอกสิวเสี้ยนย่านทาวน์อินทาวน์ เนื่องจากทั้งคู่ไม่เคยมีประสบการณ์ในน่านน้ำธุรกิจอาหารมาก่อน

“ธนกฤต"

“ธนกฤต” บอกว่า ช่วงทำร้านดัมมี่ประมาณ 8 เดือน ได้ลองผิดลองถูกค่อนข้างเยอะ เจอปัญหาและได้รับประสบการณ์สารพัด มีการทดลองปั้นสูตรแล้วให้พนักงานทดลองชิม ขายให้กับลูกค้าที่อยู่ในละแวกเดียวกัน เพื่อดูว่า ตลาดยอมรับกับราคาและรสชาติแล้วหรือยัง รวมถึงเก็บเกี่ยวฟีดแบ็กในช่วงนั้นมาปรับปรุงให้ได้มากที่สุด ที่จริงจังกับร้านดัมมี่มากขนาดนี้ “ธนกฤต” บอกว่า ตนตั้งเป้าธุรกิจด้วยสเกลใหญ่ตั้งแต่แรก หากจะออกไปปักหมุดใจกลางเมืองต้องไปแบบที่มีความพร้อม ไปแบบที่สามารถโตต่อได้อย่างแข็งแรง

ต้องปังตั้งแต่สาขาแรก โชว์เคสได้ แลนด์ลอร์ดต้องมารุมจีบ

หลังจากทำร้านดัมมี่มาได้เกือบปี “ธนกฤต” ปักธงต้องไปสาขาแรกที่ “สยามเซ็นเตอร์” ด้วยเหตุผลเรื่องทราฟิกที่อยากขายให้ได้ตลอด 7 วัน พื้นที่ย่านสยามสแควร์ในวันธรรมดามีคนทำงาน วันหยุดเสาร์อาทิตย์มีคนพลุกพล่านตลอด ทั้งยังเป็นย่านที่มีกลิ่นอายของ “Trend–setter” ด้วย เขามองไกลไปถึงการโชว์เคสความสำเร็จ หาก “Nose Tea” มียอดขายเข้าเป้า อยู่ในสายตาที่บรรดาห้างร้านต่างๆ จะมองเห็น หลังจากนี้ก็น่าจะมีแลนด์ลอร์ดเจ้าอื่นๆ มองเห็นศักยภาพของแบรนด์ด้วย

ช่วงเดือนแรกๆ ที่เปิดร้าน “Nose Tea” ยังไม่ได้รับการตอบรับจากตลาดมากนัก ทำการตลาดด้วยการยิงแอดดึงลูกค้าบริเวณใกล้เคียงเข้ามาได้บ้างเล็กน้อย แต่ปังจนถึงขีดสุดจริงๆ จากการทำการตลาดผ่าน “TikTok” หลังจากตัดสินใจอัปโหลดคลิปที่ “กชณิชา” เล่าที่มาที่ไปของ “Nose Tea”

ปรากฏว่า ยอดวิวทะลุ “1 ล้านครั้ง” ภายในชั่วข้ามคืน มีคนมาต่อคิวซื้อจนออเดอร์ทะลุไปหลายร้อยแก้ว “ธนกฤต” บอกว่า ตนและทีมงานไม่มีใครคาดคิดว่า จะเกิดเป็นไวรัลเร็วขนาดนี้ ถึงขนาดต้องโยกย้ายพนักงานจากสาขาดัมมี่บางส่วนเข้ามาช่วยที่สาขาสยามเซ็นเตอร์ รวมถึงพนักงานระดับเทรนนี (Trainee) ก็มีความจำเป็นต้องเข้ามาเสริมทัพไปพลางๆ ก่อนด้วย

จากวันนั้นจนถึงตอนนี้ เป็นเวลา 2 ปีเต็มแล้ว ที่ “Nose Tea” หรือ “ชาจมูกเขียว” โลดแล่นในตลาดชานมไข่มุก ไม่ว่าจะไปเปิดสาขาใหม่ที่ไหน จำนวนคิวที่ต่อแถวรอกินชาชีสก็ยังยาวเหยียดอัดแน่นตลอดเวลา “สูตรลับ” ที่ทำให้ลูกค้าไม่เปลี่ยนใจ ยังคงอุดหนุน “Nose Tea” อยู่สม่ำเสมอ เกิดจากการสร้างประสบการณ์แก้วแรกที่ดี “ธนกฤต” บอกว่า มายด์เซ็ตที่ตนปลูกฝังทีม คือต้องทำทุกแก้วให้เหมือนเป็นแก้วแรกของลูกค้าเสมอ

“ในวันที่ตัวเลือกในตลาดเยอะมาก เขาอาจจะไม่ได้ให้โอกาสเราเป็นครั้งที่ 2 เราจึงบอกพนักงานว่า ขอให้ทำเหมือนเป็นแก้วแรกของลูกค้าเสมอ เป็นที่มาว่า ทำไมไข่มุกหรือชาเราต้องทิ้งทันทีถ้าเลยกำหนดเวลาแล้ว เพราะเราไม่รู้เลยว่า แก้วนั้นเขาอาจจะมาในช่วงที่วัตถุดิบไม่โอเคแล้วก็ได้ เส้นของมาตรฐานพวกนี้เรามีตั้งแต่วันแรกๆ ส่วนผสมต่างๆ เราทดลอง และทิ้งไปเยอะเหมือนกัน สำคัญสุด คือต้องออกแบบระบบให้ดี ที่แม้แต่คนทำอาหารไม่เป็นก็ต้องทำอร่อย ถ้าทีมงานต้องมาเจอเหตุการณ์ที่ให้เขาใช้ดุลยพินิจประเมินเองก็อาจจะเกิดความเสี่ยง ทุกอย่างขอให้มีมาตรวัด แล้วออกแบบการชงให้ง่ายที่สุด”

สำคัญกว่ารสชาติ คือ “มายด์เซ็ต” ดูแลเรื่องคนอย่าให้ขาด

นอกจากรสชาติที่ผ่านการทดลองมานับครั้งไม่ถ้วน บรรยากาศการทำงานที่ “Healthy” กับคนทำงานก็เป็นอีกเรื่องที่ธนกฤตให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกๆ “Nose Tea” ตั้งทีมอะคาเดมีเพื่อสอนพนักงานในร้านทุกกระเบียดนิ้ว ตั้งแต่กรรมวิธีการชง ลงลึกไปจนถึงทัศนคติการทำงาน ธนกฤตบอกว่า พอต้องลงสนามจริง มายด์เซ็ตการทำงานมีผลมากกว่าเรื่องความสามารถเสียอีก

“จมูกสีเขียว"

ไม่ใช่แค่เซอร์วิสที่ดีกับลูกค้า แต่ต้องใส่ใจและนึกถึงจิตใจของเพื่อนร่วมงานด้วย เหล่านี้จะทำให้มวลบรรยากาศเป็นไปในทางบวก กระบวนการ คือส่งพนักงานเทรนนิ่งเข้าส่วนกลางเป็นเวลา 30 วัน ตั้งแต่การชงไปจนถึงมายด์เซ็ตการทำงาน เพื่อทำให้บรรยากาศหลังเคานต์เตอร์ดีต่อใจทุกคน

ธนกฤตยกตัวอย่างการเทรนนิ่งประเด็นเรื่องมายด์เซ็ตว่า จะให้แต่ละคนออกมาเขียนว่า พวกเขาชอบหัวหน้าแบบไหน เพื่อนร่วมงานลักษณะใดที่เป็นที่ต้องการ แบบนี้จะดีกว่าการไปชี้นำ เพราะเป็นสิ่งที่ทุกคนเขียนขึ้นมาเอง

ส่วนในมุมของ “Third Party” แบรนด์ขึ้นชื่อว่า ให้การบริการกับไรเดอร์เป็นอย่างดี รักษามาตรฐานเดลิเวอรีได้คนเส้นคงวา ซึ่งกว่าจะมาถึงตรงนี้ “ธนกฤต” บอกว่า “Nose Tea” ก็เคยโดนติงมาเยอะเหมือนกันจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด แต่หลังจากนั้นก็มีการไปเจรจากับแลนด์ลอร์ดเพื่อจัดหาที่นั่งพักคอยสำหรับไรเดอร์ ในมุมของตน พี่ๆ ไรเดอร์ก็คือตัวแทนของลูกค้า ต้องจัดหาที่นั่ง ต้องทำให้ไรเดอร์รู้สึกดีกับร้านค้าด้วย

สำหรับฝั่ง “ลูกค้า” เนื่องจากปริมาณคิวสะสมที่ค่อนข้างเยอะเกือบทุกสาขา ร้านจึงออกแบบแอปพลิเคชันเพื่อให้ลูกค้าสแกนดูจำนวนคิวได้แบบเรียลไทม์ ปัญหาในการรอคิว คือการรอคอยแบบไม่มีจุดมุ่งหมาย บริหารเวลาไม่ได้ ตนเชื่อว่า หากลูกค้าเห็นปลายทางจะช่วยลดความหงุดหงิดไปได้บ้างไม่มากก็น้อย

ความสำคัญของลูกค้าในมุมของ “Nose Tea” ยังสะท้อนจากวันเปิดสาขาใหม่ๆ ด้วย โดยปกติแล้วแบรนด์อื่นๆ อาจเลือกใช้ดาราหรืออินฟลูเอนเซอร์เพื่อโปรโมต แต่นั่นไม่ใช่กับชาจมูกเขียวเจ้านี้ จำนวนแขกที่เชิญมาเยอะที่สุด คือลูกค้าเก่าที่อุดหนุนและแท็กรูปมายังโซเชียลมีเดียของ “Nose Tea” เป็นประจำ

ปีนี้เปิดให้ครบ 19 สาขา รายได้โตจากปีที่แล้วเยอะมาก เตรียมแผน IPO ในอนาคตแล้ว

หลังจากประสบความสำเร็จกับสาขาสยามเซ็นเตอร์ “Nose Tea” ได้รับโอกาสจากแลนด์ลอร์ดมากมายตามแผนที่วางไว้ตั้งแต่เริ่มต้น ทั้งคู่ยังใช้ “Criteria” เดิมในการเลือกโลเกชัน คือต้องเป็นที่ที่ขายได้ตลอด 7 วัน รวมถึงเปิดสาขาที่ลูกค้าเรียกร้องเข้ามาเยอะที่สุด “ธนกฤต” บอกว่า ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต และเซ็นทรัล เวสต์เกต มีลูกค้าเรียกร้องผ่านโซเชียลมีเดียของร้านเยอะมาก และพอได้จังหวะเวลาไปเปิดจริงๆ ก็พบว่า กระแสตอบรับดีมาก

สำหรับตัวเลขสาขา “Nose Tea” ปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมด 15 แห่ง สาขาล่าสุดอยู่ที่ “เดอะมอลล์ บางแค” โดยปีนี้ตั้งเป้าจะเปิดให้ครบ 19 แห่ง ส่วนยอดขายปีที่แล้วที่โตมากถึง 2,000% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ปีนี้ “ธนกฤต” บอกว่า โตเยอะมากเช่นกัน แต่อยากให้เห็นรายละเอียดกันอีกทีช่วงสิ้นปี 2567 โดยเร็วๆ นี้ ยังไม่มีแผนขยายไปต่างจังหวัด

ส่วนเป้าหมายระยะยาวในการวิ่งทางไกล เจ้าของแบรนด์เปิดเผยว่า ตนมีแผน ติดปีกไปต่างประเทศอยู่ในเช็กลิสต์เช่นกัน ขณะนี้กำลังศึกษาความเป็นไปได้ วางระบบหลังบ้านให้แข็งแรง จากนั้นจะนำไปสู่แผนนำบริษัท IPO โดยคิดตั้งแต่วันแรกที่เริ่มตั้งไข่ธุรกิจแล้ว ตอนนี้มีการเตรียมความพร้อมหลายอย่างในส่วนที่เป็น “เช็กลิสต์” จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) คาดว่า จะนำร้านชาจมูก IPO ได้ในอีก 3 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2570

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1148169