10 July 24 ประชาชาติธุรกิจ by Kanokkan
ไมเนอร์ ฟู้ด รุกหนักต่างประเทศ เตรียมยกทัพร้านอาหารและเครื่องดื่ม “เดอะพิซซ่า คอมปะนี - ซิซซ์เล่อร์ - กาก้า - เดอะคอฟฟี่ คลับ” ขยายตลาดเวียดนาม-อินโดนีเซียเต็มสูบ พร้อมกางแผน 3 ปี (2567 - 2569) ขยายสาขาเพิ่ม 1,000 สาขาทั้งไทยและต่างประเทศ มุ่งสู่ Global Company ในอนาคต พร้อมพัฒนาโปรดักต์ใหม่ - ขยายช่องทางจัดจำหน่าย เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างครอบคลุม คาดภายใน 3-5 ปี มีสัดส่วนรายได้ต่างประเทศเป็น 60% จากเดิมอยู่ที่ 40% ส่วนแนวโน้มครึ่งปีหลังมองยังมีปัจจัยบวก
นายธันยเชษฐ์ เอกเวชวิท ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเชนร้านอาหาร - เครื่องดื่ม อาทิ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, เบอร์เกอร์ คิง, ซิซซ์เล่อร์ ฯลฯ เปิดเผยว่า ธุรกิจร้านอาหารมีทั้งโอกาสและความท้าทาย เนื่องจากแม้จะเป็นหนึ่งในเซ็กเตอร์ใหญ่ของภาคธุรกิจและเศรษฐกิจประเทศไทย ด้วยมูลค่าตลาดกว่า 4,000 ล้านบาท ทั้งยังเป็นธุรกิจที่อยู่ในชีวิตประจำวันและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค แต่พฤติกรรมของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ขณะที่ช่วงครึ่งหลังของปียังอาจมีความท้าทายในเรื่องของราคาต้นทุนวัตถุดิบที่อาจจะมีความผันผวน
ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวรวมถึงมองหากลยุทธ์ใหม่ ๆ ที่ครอบคลุมตั้งแต่ตัวสินค้า บรรจุภัณฑ์ ช่องทางจำหน่าย และประสบการณ์การทานทั้งในและนอกร้าน ฯลฯ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค และขับเคลื่อนสร้างการเติบโตให้ธุรกิจ
สถานการณ์นี้ รวมถึง ไมเนอร์ ฟู้ด ที่มีจำนวนร้านที่มีมากกว่า 2,642 แห่งใน 24 ประเทศ ภายใต้แบรนด์ต่าง ๆ ในเครือ ไม่ว่าจะเป็น เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, คอฟฟี่ คลับ, ริเวอร์ไซด์ หมาล่า, พูเลท์, บอนชอน, สเวนเซ่นส์, ซิซซ์เล่อร์, แดรี่ควีน และเบอร์เกอร์ คิง ฯลฯ ด้วย โดยแม้ผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ไมเนอร์ ฟู้ด มียอดขายโดยรวมทุกสาขา (รวมยอดขายสาขาแฟรนไชส์) เติบโตอยู่ที่ 2.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยสาเหตุหลักมาจากการขยายจำนวนสาขาในประเทศไทย สิงคโปร์ และจากการครอบครองสิทธิในการเป็นเจ้าของแฟรนไชส์แบรนด์ ซิซซ์เล่อร์ ที่ทำให้สามารถควบรวมสาขาปัจจุบันที่มีอยู่ในญี่ปุ่นได้ แต่ก็ต้องปรับตัวรวมถึงมองหากลยุทธ์ใหม่ ๆ สำหรับอนาคตเช่นกัน
พัฒนาสินค้าใหม่ - ขยายช่องทาง
สำหรับแผนการดำเนินงานจากนี้ไป ไมเนอร์ ฟู้ด จะยังคงเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์อย่างต่อเนื่องด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการสร้างสรรค์เมนูใหม่ ๆ พร้อมยกระดับประสบการณ์การรับประทานอาหารทั้งในร้านและแบบดีลิเวอรี่ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาบรรจุภัณฑ์สำหรับการจัดส่ง การขยายช่องทางการจัดจำหน่ายแบบ Omnichannel เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการได้สะดวก รวมถึงการใช้เทคโนโลยีช่วยวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากที่สุด โดยแนวทางประมาณ 70% จะเน้นไปที่การพัฒนาสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดีกว่าเดิม และ 20% จะเน้นไปที่การพัฒนาเมนูใหม่ ๆ และอีก 10% จะเน้นไปที่การทดลองแคมเปญใหม่ ๆ ยกตัวอย่าง เช่น เบอร์เกอร์ คิง ที่มีการลอนช์แคมเปญ Real Cheese Burger จนเป็นกระแสไวรัล หรืออย่าง เดอะพิซซ่า คอมปะนี ที่จัดแคมเปญถาดละ 99 บาท เป็นต้น
มุ่งสู่ Global Company
นายธันยเชษฐ์กล่าวว่า ส่วนการขยายสาขาภายใน 3 ปี (2567 - 2569) ก็จะยังคงขยายสาขาอย่างต่อเนื่องทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยจะขยายสาขาเฉลี่ยปีละ 8 - 10% โดยตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่มอีก 1,000 แห่ง หรือเพิ่มขึ้นเป็น 3,700 สาขา จากปัจจุบันมีร้านอาหารในเครืออยู่ 2,642 สาขา แบ่งเป็นสาขาที่ลงทุนเอง 51% และแฟรนไชส์ 49%
โดยการขยายสาขาเพิ่ม จะเน้นการเปิดในโลเกชั่นที่อยู่นอกห้างสรรพสินค้า และศูนย์การค้ามากขึ้น อาทิ อาคารพาณิชย์ ที่อยู่ใกล้กับย่านที่อยู่อาศัย เป็นต้น และส่วนร้านที่จะขยายเพิ่ม จะเพิ่มรูปแบบใหม่ ๆ ที่ไม่จำกัดเฉพาะแค่การนั่งทานที่ร้านเพียงอย่างเดียว อาทิ GRAB&GO, คีออสก์ และดีลิเวอรี่ เพื่อให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
ส่วนตลาดต่างประเทศ มีแผนที่จะส่งแบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มในเครือที่มีศักยภาพสูง ไปบุกภูมิภาคและประเทศต่าง ๆ มากขึ้น อาทิ เอเชีย ตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย จีน และอินเดีย เป็นต้น ส่วนแบรนด์ที่เปิดอยู่แล้วก็จะขยายไปยังตลาดใหม่ ๆ มากขึ้น เช่น แดรี่ควีน จะเข้าไปขยายในอินโดนีเซียเพิ่มหลังจากได้รับสิทธิบริหารแฟรนไชส์ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 19 สาขาในอินโดนีเซีย
สำหรับประเทศและแบรนด์ที่จะเปิดตลาดใหม่ในปีนี้ เช่น เวียดนาม จะนำเดอะคอฟฟี่ คลับ เข้าไปเปิดเพิ่มภายในปีนี้ หลังเปิด ซิซซ์เล่อร์ ร้านแรกไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เช่นเดียวกับเดอะ พิซซ่า คอมปะนี ที่เตรียมเปิดตัวสาขาแฟรนไชส์เป็นครั้งแรกในสิงคโปร์ รวมถึงจะนำแบรนด์เครื่องดื่ม กาก้า เข้าไปขยายในอินโดนีเซีย และประเทศอื่น ๆ เพิ่ม ขณะเดียวกันยังอยู่ระหว่างศึกษาโอกาสรุกตลาดอีกหลายประเทศ เช่น ประเทศอินเดีย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่าจับตามอง
โดยคาดว่าภายใน 3 - 5 ปี การใช้ยุทธศาสตร์นำแบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มในเครือเข้าไปขยายตลาดต่างประเทศมากขึ้นนี้ จะสามารถเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศขึ้นเป็น 60% จากปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศอยู่ที่ 40% รวมถึงจะสามารถมุ่งสู่การเป็น Global Company ตามที่ตั้งเป้าไว้ได้อย่างแน่นอน
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการกล่าวย้ำว่า สำหรับความท้าทายในช่วงครึ่งปีหลังอย่างความผันผวนของต้นทุนวัตถุดิบนั้น บริษัทวางแผนรับมือและบริหารจัดการต้นทุนไว้อยู่แล้ว ประกอบกับในช่วงปลายปีที่จะมีนโยบายของทางภาครัฐเข้ามาช่วยกระตุ้นการจับจ่ายของประชาชน จึงคาดว่าจะส่งผลให้ธุรกิจเติบโตได้ตามเป้าที่ตั้งไว้แน่นอน
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ https://www.prachachat.net/marketing/news-1601243
