17 February 25 กรุงเทพธุรกิจ by Kanokkan
ช่วงที่ “มี่เสวี่ย” (Mixue) บุกไทยใหม่ๆ กลายเป็นปรากฏการณ์ที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง เพราะร้านไอศกรีมสัญชาติจีนแห่งนี้มาพร้อมกับราคาย่อมเยาจนยากจะปฏิเสธได้ ไม่ว่าจะเป็นซอฟต์เสิร์ฟโคนละ 15 บาท หรือน้ำมะนาวแก้วใหญ่แต่จ่ายเพียง 20 บาทเท่านั้น ทำให้ “Mixue” ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคชาวไทยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งมีร้านแฟรนไชส์ครบ 200 สาขาไปเมื่อช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา
ท่ามกลางความสำเร็จของ “Mixue” ร้านของหวานสัญชาติจีนแบรนด์อื่นๆ ที่เห็นโอกาสจากช่องว่างในตลาดก็ทยอยกรีฑาทัพเข้ามาปักหลักในไทยเช่นกัน หลังจาก “Mixue” ก็ถึงคราวของ “WeDrink” (วีดริงค์) ที่มีสินค้าและโมเดลการขายละม้ายคล้าย “Mixue” ราวกับฝาแฝด และเมื่อกลางปี 2567 “ปิงฉุน” (Bing Chun) ร้านไอศกรีมจากเมืองจีนก็ได้ฤกษ์เข้ามาเปิดทำการในไทย โดยเลือก “แฟชั่นไอส์แลนด์” เป็นหมุดหมายแรกสุด
น้องใหม่ในไทย แต่เกิดที่จีนพร้อมกับ “WeDrink”
“Bing Chun” มีชื่อเต็มๆ ว่า “Bing Chun Cha Yin” ก่อตั้งและบริหารโดยบริษัท Henan Liangdi Catering Management มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองซินเซียงมณฑลเหอหนาน ทางตอนกลางของประเทศจีน แม้จะเป็นน้องใหม่ในไทย แต่จริงๆ แล้ว Bing Chun ถือกำเนิดขึ้นในจีนตั้งแต่ปี 2555 แรกเริ่มไม่ได้ขายซอฟต์เสิร์ฟ มีชาผลไม้และชานมเป็นสินค้าเรือธง
“Bing Chun” วางรากฐานขยายธุรกิจด้วยโมเดลแฟรนไชส์มาตั้งแต่เริ่มต้น พร้อมกับการขายสินค้าในราคาที่ทุกคนเอื้อมถึงได้ โดย “เฉิน ตง” (Cheng Dong) ผู้บริหารของ Bing Chun บอกว่า รสชาติที่อร่อยและราคาที่เข้าถึงได้ง่ายทำให้แบรนด์ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ส่งให้ “Bing Chun” เติบโตในจีนรวมถึงประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย
ก่อนหน้าการรุกคืบของ “Bing Chun” เครือข่ายร้านชาที่เจาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้สำเร็จ มีทั้ง “Gong Cha” (กงชา) และ “Mixue” โดยเฉพาะแถบเวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ แม้ว่า “Bing Chun” จะช้ากว่าแบรนด์อื่นๆ ไปหลายก้าว แต่ “เฉิน ตง” มองว่า กระแสความนิยมที่เกิดขึ้น ยิ่งทำให้การขยายไปต่างประเทศสะดวกสบายมากกว่าเดิม เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือจุดเริ่มต้นที่มีนัยสำคัญอย่างยิ่งสำหรับแบรนด์จีนที่ต้องการขยายตลาดส่งออก
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ “Bing Chun” เริ่มเป็นที่พูดถึง-ขึ้นแท่นม้ามืดในตลาดชานมไข่มุก เกิดขึ้นระหว่างปี 2562 โดยแบรนด์ทำโปรโมชันแก้วที่ 2 ราคา 1 หยวน หรือเท่ากับ 4.65 บาท ปรากฏว่า โปรโมชันได้รับการตอบที่ดีมาก กระทั่งขยายไปได้ 3,000 แห่งทั่วประเทศจีน รวมถึงการขยายมายังประเทศอื่นๆ แถบเซาท์อีสต์อีก 500 แห่ง (ตัวเลข ณ เดือนมกราคม 2567) หนึ่งในนั้นมีประเทศไทยอยู่ด้วย
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังไม่มีใครทำผลงานได้ดีกว่า “Mixue”
ตัวเลขเมื่อเดือนมกราคม 2567 ระบุว่า “Mixue” สยายปีกเปิดร้านไปแล้ว 36,000 แห่งทั่วโลก ในจำนวนที่ว่านี้ มีอยู่ 4,000 แห่งตั้งอยู่นอกประเทศจีน ทำให้ “Mixue” กลายเป็นแบรนด์ชาชงสดสัญชาติจีนเบอร์ต้นในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ “Hey Tea” แม้จะขยายมาฝั่งเอเชียบางส่วน แต่กลับได้รับความนิยมจากอังกฤษ สหรัฐ ฝรั่งเศส และแคนาดามากกว่า
เว็บไซต์ “China Daily” ระบุว่า “Mixue” เก่งกาจในการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายซัพพลายเออร์ เพื่อจัดหาวัตถุดิบให้เหมาะสมกับตลาดท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี มีระบบโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่ง รวมถึงระบบคลังสินค้า บริการจัดส่ง ฯลฯ ทำให้ระบบห่วงโซ่อุปทานของ Mixue มีเสถียรภาพมาก
นอกจากนี้ “Mixue” ยังมีมาสคอต “Snow King” ที่ถูกพูดถึงบนโซเชียลมีเดียอย่างกว้างขวาง ทำให้แบรนด์เป็นมากกว่าเครื่องดื่มที่ลูกค้าเข้ามาซื้อแล้วเดินจากไป โดยในปี 2566 หัวข้อเกี่ยวกับ Snow King ถูกพูดถึงบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมากถึง 8,700 ล้านครั้ง ส่วนเพลงธีมของ Mixue ถูกเปิดไปแล้ว 8,400 ล้านครั้ง สะท้อนถึงความนิยมของ Mixue แซงหน้าชาจีนแบรนด์อื่นๆ ไปหลายก้าว
ในมุมมองของผู้ประกอบการ เชื่อว่า ชาจีนยังมีโอกาสเติบโตทั้งในและนอกประเทศอีกมาก คาดการณ์ว่า ตัวเลขตลาดชาจีนในปี 2568 จะแตะระดับ 250,000 ล้านหยวน หรือราวๆ 1.16 ล้านล้านบาท รสชาติของชาจีนได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ฝั่งแบรนด์เองก็มีการปรับปรุงพัฒนาให้รสชาติมีความสดใหม่ใกล้เคียงกับรสนิยมที่เปลี่ยนแปลงไป ชาจีนจึงไม่ใช่เครื่องดื่มเฉพาะกลุ่ม แต่กำลังขยายกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อยๆ
“Bing Chun” เปิดในไทยอย่างน้อย 8 แห่ง มีคนจีนเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น
ในประเทศไทย “Bing Chun” บริหารภายใต้ “บริษัท ปิงฉุน ฟู้ด แมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด” ขยายสาขาผ่านระบบแฟรนไชส์โดยไม่ปรากฏแน่ชัดว่า ปัจจุบันขยายไปแล้วกี่แห่ง
แต่จากการเปิดเผยผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Bing Chun Thailand” พบว่า เปิดทำการไปแล้วอย่างน้อย 8 แห่ง ได้แก่ สาขาแฟชั่นไอส์แลนด์, สาขายูเนี่ยน มอลล์, สาขา MBK Center, สาขาพาราไดซ์ พาร์ค ศรีนครินทร์, สาขาตลาดมีนบุรี, สาขามหาวิทยาลัยกรุงเทพ, สาขามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสาขาวงเวียนหอนาฬิกาเชียงราย
ทั้งนี้ “ปิงฉุน แมเนจเม้นท์” จดทะเบียนตั้งบริษัทวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 ถือหุ้นโดย เจดดราก้อน แวร์เฮาซิ่ง เซอร์วิส สัดส่วน 51% และนายหลง เฉิน 49% เนื่องจากเพิ่งก่อตั้งและเปิดทำการเมื่อปีที่ผ่านมาจึงยังไม่มีตัวเลขรายได้และกำไรสุทธิให้เห็นกัน แต่จากการลงสำรวจพื้นที่ พบว่า หน้าร้านมีลูกค้าแวะเวียนเข้ามานั่งกิน-ซื้อกลับเรื่อยๆ โดยเมนูที่ได้รับความนิยม คือซอฟต์เสิร์ฟ 15 บาท ที่มีให้เลือกทั้งรสดั้งเดิมและรสชาเขียว
จับตาดูกันต่อไปว่า ปีนี้จะมียักษ์จีนเจ้าไหนข้ามน้ำข้ามทะเลมาปักหมุดที่ประเทศไทยเป็นรายต่อไป ไม่ใช่แค่ฟากฝั่งของหวานเท่านั้น ตั้งแต่อาหารทานเล่นไปจนถึงฟาสต์ฟู้ด “พี่จีน” ก็เดินเครื่องเต็มสูบ ด้วย “Economy of scale” ที่ทำให้ดั๊มป์ราคาขายแบบทุบตลาดจนกระอักกันไปข้างหนึ่ง
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1165954
