อาหารคลีนต้าน ‘ซึมเศร้า’ ยิ้มไม่ออกเมื่อไรต้องกิน
ความเครียด ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเลยหากในปัจจุบันนี้หลาย ๆ คน มักจะมีอาการเครียด ซึ่งสาเหตุมาจากหลากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความเครียดจากการทำงาน เครียดกับการเรียน รวมถึงเรื่องปัญหาส่วนตัวต่าง ๆ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ใครหลาย ๆ คนหลีกเลี่ยงไม่ได้
เชื่อหรือไม่ว่าอาหารอร่อย ๆ ช่วยปรับอารมณ์ของเราให้ดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ หากวันไหนที่คุณเจอแต่ปัญหาและอุปสรรคมากมาย ลองให้รางวัลตัวเองด้วยอาหารดี ๆ อร่อย ๆ สักมื้อ รับรองว่าจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน แต่ถ้าวันใดคุณประสบกับปัญหาของโรคซึมเศร้า หรือมีอาการคล้ายซึมเศร้าจนไม่อยากอาหาร กินอะไรก็ไม่อร่อย ลองกินอาหารคลีนเหล่านี้ดู
จริงหรือ…อาหารคลีนต้าน ‘ซึมเศร้า’การเลือกรับประทานเมนูประเภท
‘อาหารคลีน’ สามารถช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าได้เป็นอย่างดี ซึ่งอาหารคลีน คือ เมนูอาหารที่ผ่านการปรุงน้อย ลดมัน ลดหวาน ลดเค็ม โดยเฉพาะเมนูที่ลดความหวานลง นั่นเอง ถ้าหากคุณบริโภคเมนูอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำตาลเยอะ หรือ ประกอบไปด้วยน้ำตาลมากกว่า 6 ช้อนชา/วัน อาจจะมีผลต่อการเกิด ภาวะซึมเศร้าได้นั่นเอง ดังนั้น ควรเน้นกลุ่มผักและผลไม้เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับ 400 กรัมต่อวัน
อาหารคลีน นอกจากจะช่วยให้ระบบการขับถ่ายดีขึ้นแล้ว สารสีตามธรรมชาติของผักและผลไม้ ยังมีผลช่วยบำบัดภาวะเจ็บป่วยทางด้านจิตเวชได้ด้วย เช่น กลุ่มผักผลไม้สีแดง อาทิ แตงโม องุ่นแดง มะเขือเทศ จะให้สารสี
ไลโคปีน (Lycopene) และเบต้าไซซิน (Betacycin) ซึ่งมีส่วนช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อม กลุ่มผักผลไม้ที่มีสีม่วง เช่น มะเขือม่วง กะหล่ำปลีสีม่วง จะให้สารสีแ
อนโทไซยานิน (Anthocyanin) มีส่วนช่วยให้ผ่อนคลาย อารมณ์ดี เป็นต้น
‘อาหาร’ ที่ยิ้มไม่ออกเมื่อไรต้องกิน ดังนี้• แตงโม
• องุ่นแดง
• มะเขือเทศ
• มะเขือม่วง
• กะหล่ำปลีสีม่วง
• อาหารคลีน (ปรุงรสให้น้อยที่สุด ใช้สมุนไพรหรือเครื่องเทศต่าง ๆ ในการเพิ่มรสชาติ)
• ลดการใช้น้ำมัน โดยใช้น้ำซุปในการผัดแทน หรือใช้น้ำในการช่วยปรุงอาหารแทนน้ำมันในบางเมนู เช่น ไข่ดาวน้ำ (หรือกินไข่ต้มแทนไข่เจียว)
• เลือกอาหารที่ปรุงด้วยวิธี ต้ม นึ่ง ย่าง มากกว่า การผัด หรือ ทอด
• ลดอาหารรสจัด หันมากินอาหารรสอ่อน เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก แกงจืด เป็นต้น
นอกจากนี้ การใช้เวลาไปกับกิจกรรมที่ชอบ ช่วยลดความเครียด ความเศร้า ได้เช่นกัน ควรแบ่งเวลาในแต่ละวันเพื่อที่จะได้ทำกิจกรรมที่ชอบบ้าง รวมถึงแบ่งเวลามาดูแลสุขภาพของตัวเองด้วยการออกกำลังกายทุกวัน หรืออย่างน้อย 3 - 5 วันต่อสัปดาห์ ครั้งละอย่างต่ำ 30 นาที จะช่วยให้ดีขึ้นทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตได้
ขอบคุณข้อมูลจาก :
www.sanook.com/health/18325
